page88

มะลิ งานวิจัยและสรรพคุณ 30 ข้อ

ชื่อสมุนไพร มะลิ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะลิลา, มะลิซ้อน (ทั่วไป), มะลิป้อม (ภาคเหนือ), มะลิหลวง (แม่ฮ่องสอน), มะลิขี้ไก่ (เชียงใหม่), ข้าวแตก (ไทยใหญ่), บังหลีฮวย, เชียวหน้ำเคี้ยง (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Jasminum Sambac (L.) Aiton.
ชื่อสามัญ Arabian jasmine, Jusmine, Grand Duke of Tuscany, Angel–hair jusmine, Angelnaing jusmine, Star jusmine.
วงศ์ OLEACEAE


ถิ่นกำเนิดมะลิ
มะลิ มีถิ่นกำเนิดในแถบร้อนชื้น หรือ กึ่งร้อนชื้นในเอเชีย และความสมุทรอารเบีย เช่น อินเดีย, ไทย, มาเลเซีย, พม่า, คูเวต, โอมาน, ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น แต่ในปัจจุบันสามารถพบได้ ทั้งในยุโรป เอเชีย อาฟริกา และแถบแปซิฟิค โดยพืชในสกุลนี้มีประมาณ 200 ชนิด ส่วนในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 45 ชนิด และสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกภาคของประเทศ สำหรับมะลิที่เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของไทย มีอยู่ประมาณ 15 ชนิด ซึ่งมะลิ ที่พบเห็นกันมากในไทยได้แก่ มะลิลา มะลิลาซ้อน มะลิถอด มะลิพิกุล หรือ มะลิฉัตร มะลิทะเล มะลิทะเล มะลิเลื้อย มะลิวัลย์ พุทธชาด ปันหยี เครือไส้ไก่ อ้อยแสนสวย และมะลิเขี้ยวงู เป็นต้น ทั้งนี้แหล่งปลูกมะลิที่สำคัญของไทย ได้แก่ นครสวรรค์ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร ชลบุรี พิษณุโลก ลำพูน อุบลราชธานี ขอนแก่น และ หนองคาย


ประโยชน์และสรรพคุณมะลิ

ใช้บำรุงหัวใจ
ช่วยดับพิษร้อน
ช่วยถอนพิษไข้
ช่วยทำจิตใจให้ชุ่มชื่น
ช่วยบำรุงครรภ์รักษา
แก้ร้อนใน
ช่วยกระหายน้ำ
แก้เจ็บตา
ช่วยสมานท้อง
แก้บิด
แก้ปวดท้อง
แก้แผลเรื้อรัง
ช่วยแก้ผิวหนังเป็นผื่นคัน
แก้ซาง (ตำใส่พิมเสน)
แก้ตัวร้อน (ตำใส่พิมเสน)
แก้หวัด (ตำใส่พิมเสน)
แก้อ่อนเพลีย
ช่วยชูกำลัง
แก้อึดแน่น
แก้ท้องเสีย
แก้เยื้อตาอักเสบ (ต้มน้ำใช้ล้างตา)
แก้ปวดหู
แก้ปวดเอ็นขัดยอก
แก้เลือดออกตามไรฟัน
แก้ปวดหัว
แก้ลมวิงเวียน
ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ(กลิ่น)
ช่วยลดความเครียด(กลิ่น)
ช่วยลดความกลัว(กลิ่น)
แก้นอนไม่หลับ
มะลิเป็นพันธุ์ไม้ที่มีประวัติผูกพันธุ์กับวิถีชีวิตคนไทยมาเนิ่นนานแล้ว โดยมีการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ใช่ดอกมะลิ ให้เป็นดอกไม้ของวันแม่แห่งชาติ เพราะมีกลิ่นหอม และยังมีสีขาวบริสุทธิ์ ใช่ทำเป็นพวงมาลัยไหว้พระ รวมถึงใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันหอมระเหย และใช้แต่งกลิ่นใบชา, ใช้อบขนมต่างๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ในทางสุคนธบำบัด (Aromatherapy) หรือ การบำบัดโดยการใช้กลิ่นหอม จะใช้น้ำมันหอมระเหยของดอกมะลิ ในการกระตุ้นระบบประสาทสำหรับผู้ที่มีภาวะอ่อนล้าทางจิตใจ เฉื่อยชา อ่อนเพลีย ง่วง ช่วยปรับอารมณ์ และสภาพสมดุลของจิตใจให้ดีขึ้น หรือ จะใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปที่ให้นั้นหอม สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี และเป็นพันธุ์ไม้หอมที่ปลูกได้ง่าย เมื่อดื่มน้ำลอยดอกมะลิให้ความรู้สึกสดชื่นอีกด้วย ในปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น King of essential oils (ส่วนกุหลาบเป็น Queen of essential oils) จัดว่าเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีราคาแพงที่สุด นำมาใช้แต่งกลิ่นน้ำหอม เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางต่างๆ ใช้ในธุรกิจสปา และใช้เพื่อสุคนธบำบัด

มะลิ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น แก้ลมวิงเวียน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อ่อนเพลีย ใช้ดอกแห้ง 1.5-3 กรัม ต้มน้ำ หรือ ชงน้ำร้อนดื่ม แก้ผิวหนังผื่นคัน แผลเรื้อรัง ใช้ล้างตา แก้ตาอักเสบ แก้ปวดไข้ ต้มน้ำล้างตา บริเวณแผลผื่นคัน หรือ แช่น้ำมันพืชหยอดหู แก้ร้อนใน, เสียดท้อง รักษาหลอดลมอักเสบ ขับประจำเดือน โดยใช้รากฝนผสมกับน้ำรับประทาน รักษาแผล ฝีพุพอง แก้ไข้ ขับน้ำนมโดยใช้ใบตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมันมะพร้าว แล้วนำไปลนไฟแล้วจึงใช้ทาบริเวณที่เป็นแก้อาการนอนไม่หลับ โดยใช้รากแห้งประมาณ 1-1.5 กรัม นำมาฝนกับน้ำรับประทาน แก้หอบหืด หลอดลมอักเสบ ด้วยการใช้รากสด 1-1.5 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน แก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้รากสดนำมาทุบให้แหลกคั่วกับเหล้าจนร้อน ใช้พอกบริเวณที่ปวด

นอกจากนี้ในมาเลเซีย ใช้ดอกพอกหัว แก้ปวดหัว ใบมะลิ ใช้พอกแก้ฟกช้ำ แผลเรื้อรัง โรคผิดหนัง และบาดแผล ต้มน้ำกินแก้ไข ต้มกับน้ำมันพืช ใช้ทาหัว แก้อาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ทำให้ตาสว่าง และใช้เป็นยาแก้วิกลจริต ใบแห้งใช้พอกแผลเรื้อรังและโรคผิวหนังอื่นๆ


ลักษณะทั่วไปของมะลิ

มะลิสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีปักชำ และวิธีตอนกิ่ง มะลิจัดเป็นไม้พุ่มกึ่งเถา สูงน้อยกว่า 2 เมตร ลำต้นเป็นเถากลมเล็กยาวแตกกิ่งก้านไปรอบๆ ด้านกิ่งอ่อนมีขนสั้นๆ สีขาว

ใบออกเรียงตรงข้าม เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยใบเดียว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปรี รูปขอบขนาน หรือ รูปมนป้อม ปลายใบแหลม โคนใบมนสอบเข้าหากัน ส่วนขอบใบเรียบไม่มีหยัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบมันเป็นสีเขียวแก่ ที่ท้องใบเห็นเส้นใบได้ชัดเจน เส้นใบมีขนาดใหญ่ มีประมาณ 4-6 คู่ ก้านใบมีขนาดสั้นมากและมีขน

ดอกออกเป็นดอกเดี่ยว หรือ เป็นช่อ ช่อหนึ่งปกติมี 3 ดอก ออกจากซอกใบ หรือ ปลายกิ่ง ก้านช่อดอกยาว 1-3 ซม. มีขนสั้นๆ สีขาว ก้านดอกย่อย ยาว 5-10 มม. กลีบเลี้ยงเป็นหลอดสีเขียว มีขนสั้นๆ ส่วนปลายแยกเป็นเส้นปลายแหลม 8-10 เส้น ยาว 5-8 มม. กลีบดอกเป็นหลอดสีขาว ยาว 1.5-2 ซม. มีเกสรตัวผู้ 2 อัน อยู่ติดกับกลีบดอกในหลอดสีขาว รังไข่มี 2 ห้อง แต่ละห้องมี 2 เมล็ด ออกดอกตลอดปี

ทั้งนี้ ลักษณะของดอกมีทั้งดอกซ้อน และดอกไม่ซ้อน ดอกซ้อนเราจะเรียกว่า "มะลิซ้อน" ส่วนดอกที่ไม่ซ้อนจะเรียกว่า "มะลิลา" โดยทั้งสองชนิดจะเป็นดอกสีขาว และมีกลิ่นหอม ซึ่งดอกมะลิ ลาจะมีกลิ่นหอมมากกว่าดอกมะลิซ้อน

ดอกมะลิ

การขยายพันธุ์มะลิ

มะลิสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีปักชำและวิธีตอนกิ่ง แต่วิธีที่นิยมขยายพันธุ์มากที่สุข คือ การปักชำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายสะดวก และรวดเร็ว โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

ก่อนอื่นต้องเตรียมวัสดุเพาะชำ โดยใช้ทรายผสมขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 1:1 บรรจุในตะกร้าพลาสติกที่เตรียมไว้ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม เตรียมกิ่งพันธุ์ โดยกิ่งที่ใช้จะเป็นกิ่งที่ไม่แก่ และอ่อนเกินไป ตัดให้มีความยาวของกิ่งประมาณ 4 นิ้ว หรือ มีข้ออย่างน้อย 3 ข้อ การตัดกิ่งควรจะตัดให้ชิดข้อ ริดใบส่วนล่างออกให้เหลือใบคู่บนสุด 1 คู่ ตัดใบออกให้เหลือใบคู่บนสุด 1 คู่ ตัดใบออกให้เหลือเพียงครึ่งใบ เพื่อลดการคายน้ำ ถ้าต้องการเร่งรากควรนำกิ่งมะลิไปจุ่มในฮอร์โมน IBA [Indole Butyric Acid] และ NAA [Naphthalene Acetic Acid] อัตราส่วน 1:1 (ความเข้มข้นตามคำแนะนำ) นำกิ่งมะลิที่เตรียมไว้ปักชำลงในภาชนะเพาะ โดยปักเรียงเป็นแถว ให้มีระยะห่างระหว่างแถวและกิ่ง 2x2 นิ้ว แล้วรดน้ำที่ผสมกับสารกันรา และสารเคมีกำจัดแมลง

เมื่อชำเสร็จแล้วให้ใช้พลาสติกใสปิดกระบะให้มิดชิด ทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ กึ่งมะลิจะออกรากประมาณร้อยละ 90 ของมะลิทั้งหมด เมื่อมะลิออกรากแล้ว ให้สังเกตดูความสมบูรณ์ของรากก่อนที่จะย้ายลงปลูกในถุงพลาสติก การปักชำวิธีนี้จะได้จำนวนต้นครั้งละมากๆ และเปอร์เซ็นต์การออกรากสูง แต่มีข้อควรระวัง คือ การปักชำในกระบะซ้ำๆ กันหลายครั้งอาจเกิดโรคราขึ้นได้ ดังนั้นควรใช้สารเคมีป้องกันเชื้อราราด หรือ ฉีดพ่นลงในกระบะขณะปักชำด้วย หลังจากกิ่งปักชำออกรากแล้วให้นำไปเลี้ยงต่อในถุงขนาด 2x3 นิ้ว โดยใส่ดิน ขุยมะพร้าว และปุ๋ยคอก อัตรา 3:1:1 จนต้นมะลิแข็งแรงดีแล้ว จึงนำไปปลูกต่อไป

สำหรับสรรพคุณทางยาของมะลิ นั้นตามตำรายาไทยระบุไว้ว่า การปลูกมะลิควรปลูกในฤดูฝน สำหรับในสภาพพื้นที่ดอน เตรียมไถดะ และตากดินประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในสภาพดินกรดให้หว่านปูนขาวประมาณ 200-300 กก. ต่อไร่ แล้วไถพรวน ในสภาพพื้นที่ลุ่ม หากเป็นดินเหนียว ขุดดินเป็นร่องน้ำกว้าง 1 เมตร ยกแปลงปลูกคล้ายหลังเต่ากว้าง 8 เมตร สูง 0.6 เมตร ซึ่งการปลูกมะลิสภาพพื้นที่แบบใดก็ตาม ต้องมีการเตรียมการระบายน้ำที่ดีเสมอ

การปลูกให้ขุดหลุมลึก กว้าง และยาว ด้านละ 50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอก หรือ ใบไม้แห้ง หรือ ปุ๋ยหมัก พร้อมกับใส่ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอส (0-46-0) และปุ๋ยสูตร 15-15-15 อย่างละ 80-100 กรัมต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงในหลุม ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน จึงนำต้นมะลิมาลงปลูก และรดน้ำ สิ่งสำคัญต้องให้ต้นมะลิได้รับแสงอย่างเต็มที่

การให้น้ำควรรดน้ำตอนเช้า วันละ 1-2 ครั้ง หรือ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ขึ้นกับสภาพดิน หากรดน้ำมากเกินไปไม่สามารถระบายน้ำได้ หรือ น้ำขังในแปลงนานจะทำให้ต้นมะลิตายได้ เมื่อปลูกมะลิได้ระยะเวลา 1 เดือน ให้ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 ใส่ลงไปเดือนละครั้ง อัตราไร่ละ 150 กิโลกรัมต่อปี โดยการหว่านและรดน้ำตาทุกครั้ง