page10
บัวหลวง งานวิจัยและสรรพคุณ 34 ข้อ
ชื่อสมุนไพร บัวหลวง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น บัว (ทั่วไป), โช๊ค (บุรีรัมย์, เขมร) นอกจากนี้บัวหลวงยังมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งต่างก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามขนาดและลักษณะของดอก ดอกบัวหลวงชนิดดอกไม่ซ้อน (ดอกฉลวย) สีชมพู เรียกว่า ปทุม, ปัทมา, โกกระณต ดอกบัวหลวงชนิดดอกไม่ซ้อน (ดอกฉลวย) สีขาว เรียกว่า ปุณฑริก, บุณฑริก ดอกบัวหลวงป้อมกลีบซ้อน สีชมพู เรียกว่า สัตตบงกช ดอกบัวหลวงป้อมกลีบซ้อน สีขาว เรียกว่า สัตตบุษย์ บัวหลวงดอกเล็กสีชมพู จะเรียกว่า บัวเข็มชมพู บัวปักกิ่งชมพู บัวหลวงจีนชมพู บัวหลวงดอกเล็กสีขาว จะเรียกว่า บัวเข็มขาว บัวปักกิ่งขาว บัวหลวงจีนขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Nelumbo nucifera Gaertn.
ชื่อสามัญ Sacred lotus, Lotusstamen, East indian lotus
วงศ์ NELUMBONACEAE
ถิ่นกำเนิดบัวหลวง
ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของบัวหลวงนั้นเชื่อว่าอยู่ในแถบเอเชียใต้ (อินเดีย) และเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ (รวมทั้งบริเวณประเทศไทย) แต่ บางตำราระบุว่าบัวหลวงมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา แล้วจึงแพร่ขยายมา ถึงทวีปเอเชียตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
สำหรับในประเทศไทยนั้นบัวหลวง นับเป็นพืชพื้นถิ่นของไทย และเป็นพืชชนิดแรกๆ ที่บรรพบุรุษของไทยนำมาใช้ประโยชน์ ทั้งในการใช้บริโภค, ใช้ในประเพณี และความเชื่อต่างๆ ปัจจุบันสามารถพบเห็นบัวหลวงได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ส่วนใหญ่มักจะมีการปลูกเชิงพาณิชย์ในภาคกลาง เช่น อยุธยา, สระบุรี, นนทบุรี, ปทุมธานี เป็นต้น นอกจากนี้บัวหลวงยังเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดต่างๆ ถึง 5 จังหวัด คือ ปทุมธานี, อุบลธานี, หนองยังลำภู, พิจิตร, และสุโขทัย อีกด้วย
ประโยชน์และสรรพคุณบัวหลวง
ช่วยบำรุงกำลัง ชูกำลัง
บำรุงหัวใจ
บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียน
ช่วยทำให้ชื่นใจ
ใช่เป็นยาสงบประสาท
ช่วยขับเสมหะ
บำรุงปอด
บำรุงตับ
ช่วยคุมธาตุ
แก้ไข้
แก้ปัสสาวะบ่อย
แก้น้ำกามเคลื่อน
แก้ตกขาว
แก้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
แก้เลือดกำเดาไหล
แก้อาการท้องเสีย
แก้อาการซ้ำใน
ช่วยให้นอนหลับ
แก้ริดสีดวงจมูก
แก้ลมพิษ
แก้ท้องเดิน
ช่วยห้ามเลือด
แก้อาการปวดศีรษะเป็นไข้
แก้อาการท้องร่วง
ช่วยขยายเส้นเลือดหัวใจ
แก้ร้อนในกระหายน้ำ
แก้พุพอง
แก้เป็นตะคริวที่ท้อง
ช่วยห้ามเลือด
แก้พิษหัด
แก้พิษสุกใส
แก้อ่อนเพลีย (ใช้เกสรบัวหลวง ร่วมกับเปลือกฝิ่นต้น และลูกมะตูม อ่อน)
ช่วยให้เจริญอาหาร
ช่วยแก้น้ำกามเคลื่อน (ฝันเปียก)
มีการนำบัวหลวง มาใช้ประโยชน์ มาตั้งแต่อดีต เพราะบัวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธบูชา จึงนิยมใช้ดอกบัวในการไหว้พระ ทำบุญ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่เป็นมงคล อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาวหวาน ใช้ในงานประดิษฐ์ต่างๆ ใบบัวแก่เมื่อนำมาตากแห้ง ใช้เป็นส่วนผสมของยากันยุงได้ เปลือกบัวนำมาใช้เป็นวัสดุในการปลูกเห็ดชนิดหนึ่ง หรือ ที่เรียกว่า "เห็ดบัว" ส่วนเปลือกเมล็ดและฝักแก่ใช้ทำเป็นปุ๋ย นอกจากนี้สารสกัดจากเกสรยังนำมาใช้ทำเป็นเครื่องสำอางที่เป็นตัวช่วยชะลอการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและอ่อนนุ่ม เช่น ครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวทั้งกลางวันกลางคืนได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้เกสรบัวหลวงแห้งบดเป็นผงปรุงเป็นยาหอมจะช่วยบำรุงหัวใจ บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนทำให้ชื่นใจ เป็นยาสงบประสาท ขับเสมหะ หรือ ใช้เกสรบัวหลวงสด หรือ แห้งประมาณ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หรือ ใช้เกสรบัวหลวง แห้ง บดเป็นผงครั้งละ 0.5 -1 ข้อนชา ชงน้ำร้อนดื่ม หรือ ใช้ในขนาด 3-5 กรัม ใช้แก้อาการช้ำในช่วยในการนอนหลับใช้ดอกบัวตูมแห้ง 3-5 ดอก ต้มน้ำ 4-7 แก้ว ให้เดือดนาน 5-10 นาที ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่รับประทาน วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว หรือดื่มต่างน้ำ ใบบัวสดนำมาต้มน้ำใช้ดื่มเพื่อลดความดันเลือดและลดไขมันในเลือด ดีบัว (ต้นอ่อนในเมล็ด) นำมาตากแห้ง คั่วให้หอม ชง น้ำร้อนดื่มเหมือนน้ำชา มีคุณสมบัติ ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ บำรุง หัวใจ สงบประสาท ขับเสมหะ เหง้า หรือ รากบัวใช้ต้มกับน้ำดื่ม เป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติในเด็ก ใบบัวนำมาหั่นเป็นฝอยแล้วผึ่งแดดให้แห้ง ใช้ทำเป็นมวนสูบเพื่อช่วยบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก บัวทั้งต้นใช้แก้พิษจากการรับประทานเห็ดพิษและอาการเป็นพิษจากพิษสุราเรื้อรัง ด้วยการใช้ทั้งต้นประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน
ลักษณะทั่วไปของบัวหลวง
ลักษณะบัวหลวง เป็นบัวขนาดใหญ่ จัดเป็นพืชน้ำ มีอายุหลายปี และออกดอกตลอดปี มีลำต้นแท้อยู่ใต้ดิน (เรียกว่าเหง้าหรือไหล) มีก้านใบและ ก้านดอกโผล่พ้นดินขึ้นมา ชูใบและดอกขึ้นเหนือน้ำ ก้านดอกและก้าน ใบของบัวหลวงมีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นก้านแข็งผิวเป็นหนามสั้นๆ ขรุขระ ภายในก้านใบ มีรูพรุน เมื่อหักออกจากกันจะมีเส้นใยสีขาวเชื่อมกันมากมายเรียกว่าใยบัว ใบบัวหลวง เป็นใบเดี่ยว แผ่นใบชูเหนือน้ำ รูปเกือบกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-50 ซม. โคนเว้าตื้น ของเรียบ และเป็นคลื่น ผิวเรียบมีนวลขาวเคลือบตลอดหลังใบ ทำให้น้ำไม่เกาะ (เข่นเดียวกับใบบอน) ดอก เป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่อยู่ปลายก้าน ดอก เมื่อตูมเป็นรูปไข่ปลายแหลม เมื่อบานมีกลีบดอกแผ่ออกโดยรอบ เป็นวงกลมคล้ายกับทานตะวัน มีกลีบดอกขนาดใหญ่ประมาณ 20 กลีบ กลางดอกเป็นรังไข่ ปลายแบนราบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นเส้นล้อมรอบรังไข่เป็นจำนวนมาก กลีบดอกบัวหลวงมีทั้งสีชมพูและสีขาว และยังมีชนิดดอกซ้อนอีก ด้วย ทรงดอกบัวหลวงมี 2 แบบ คือ ทรงปกติ ค่อนข้างเรียวยาว เรียกว่า ดอกฉลวย (ซึ่งก็ คือ ดอกบัว ที่ดอกไม่ซ้อน) ส่วนชนิดหนึ่งทรงดอกป้อม เป็นชนิดดอกซ้อน รากบัวหลวงมีลักษณะเป็นเหง้า หรือ ไหลหยั่งลงไปในดินลึก เป็นรากเก็บอาหาร ขนาดใหญ่ทรงกลมยาว คืบไปตามแนวนอนใต้ดิน และเป็นปล้อง เนื้อในมีรู สำหรับส่วนของบัวหลวง ที่นำไปทำยา คือ เกสรตัวผู้ของดอกบัวหลวง โดยเก็บเมื่อดอกบานเต็มที่ แยกเอาเฉพาะเกสรตัวผู้ นำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เมื่อแห้ง จะเป็นเส้นมีสีเหลือง และมีกลิ่นหอม รสฝาด
บัวหลวง
การขยายพันธุ์บัวหลวง
บัวหลวงนั้นสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแยกเหง้าปลูก โดยพื้นที่ปลูกบัวหลวงควรเป็นพื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่มีความสูงต่ำสม่ำเสมอ และใกล้แหล่งน้ำ ลักษณะของดินควรเป็นดินร่วน หรือ ดินเหนียว หน้าดินเป็นโคลนตมไม่หนามาก สำหรับดินร่วนปนทรายจะให้ผลผลิตของดอกน้อย และจะดอกใบมาก
วิธีการเตรียมแปลงปลูกบัวหลวง จะมีลักษณะคล้ายกับการทำนา แต่จะขุดแปลงลึกกว่า ประมาณ 1-1.5 เมตร เพื่อให้กักเก็บน้ำสูง 0.5-1 เมตร หากเป็นแปลงเก่า หรือ บ่อเก่าให้สูบน้ำออกให้หมด พร้อมไถ และปรับพื้นที่ให้เรียบ และกำจัดวัชพืช หว่านปูนขาว เพื่อฆ่าเชื้อ และปรับสภาพดิน พร้อมตากแดดบ่อประมาณ 1-2 อาทิตย์ แล้วทำการหว่านปุ๋ยสูตร 12-12-24 อัตรา 30 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอก 200 กก./ไร่ พร้อมทำการไถ และปรับหน้าดินอีกครั้ง
การปลูกจะใช้วิธีการแยกเหง้าบัว หรือ รากบัวออกปลูก โดยเหง้าที่ใช้จะยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาเหง้า 2-3 ตา เพราะหลังปลูกต้นบัวใหม่จะงอกขึ้นตามตาบริเวณข้อบัว ซึ่งการปลูกสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ
การปลูกในแปลงดินแห้ง โดยส่วนมากมักใช้สำหรับแปลงใหม่ หรือ ต้องการปลูกในลักษณะของดินแห้งหลังจากการเตรียมบ่อ สำหรับการปลูกในแปลงลักษณะนี้จะใช้วิธีการขุดหลุมด้วยเสียม หรือ จอบลึกประมาณ 15-20 ซม. พร้อมฝังเหง้าบัว โดยให้เหลือส่วนที่เป็นตาบัวเหนือผิวดินประมาณ 1-2 ข้อ หลังจากนั้นจึงทำการปล่อยน้ำเข้าแปลง
การปลูกในแปลงดินโคลน เป็นวิธีการที่นิยมปลูกเนื่องจากง่าย และสะดวกกว่าวิธีแรก ด้วยการปล่อยน้ำเข้าแปลงเพียงเล็กน้อยหรือสูงกว่าผิวดิน 3-5 ซม. เพื่อให้ดินเป็นโคลนตม หลังจากนั้นจะให้เหง้าบัวเสียบลงแปลง โดยให้เหลือส่วนเหนือผิวดินประมาณ 1-2 ข้อ เมื่อปลูกเสร็จจึงทำการปล่อยน้ำให้ท่วมแปลง
สำหรับการปล่อยน้ำ จะปล่อยน้ำหลังปลูกเสร็จให้ท่วมแปลงในระดับสูงกว่าปลายเหง้าบัวเพียงเล็กน้อย เมื่อต้นอ่อนบัวเริมงอก และตั้งตัวได้แล้วจึงทำการปล่อยน้ำเข้าแปลงอีกครั้ง
ส่วนการใส่ปุ๋ย จะทำการใส่ปุ๋ยครั้งแรกเมื่อเห็นต้นอ่อนของบัวงอกแล้วประมาณ 1-2 อาทิตย์ โดยใช้สูตร 16-16-8 และอีกครั้งในระยะก่อนบัวออกดอกในสูตร 12-12-24 ทั้งสองครั้งใส่ประมาณ 30 กก./ไร่ นอกจากนี้ในระยะแรกอาจใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ร่วมด้วยในอัตรา 100 กก./ไร่ แต่ไม่ควรใส่ปุ๋ยชนิดนี้มากเพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสีย
ทั้งนี้บัวหลวงสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน ในระดับน้ำไม่ลึกมากเกิน 1 เมตร และบัวหลวงยังมีความอ่อนไหวต่อคุณภาพน้ำสูง โดยจะชอบแหล่งน้ำธรรมชาติ สะอาด น้ำไม่เน่าเสีย ดังนั้น ระดับน้ำ และคุณภาพของน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ที่ต้องพิจารณาสำหรับการปลูกบัวหลวง
ดอกบัวหลวง
องค์ประกอบทางเคมี
ในส่วนต่างๆ ของบัวหลวง พบองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้
เกสรบัว พบฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น quercetin, luteolin, isoquercitrin, luteolin glucoside และมีรายงานพบสารกลุ่มแอลคอลอยด์อีกด้วย
ดอกบัว พบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น quercetin, luteolin, isoquercitrin, luteolin glucoside, kaempferol, kaempferol 3- galactoglucoside, kaempferol 3- diglucoside
ดีบัว พบ methylcorypalline และแอลคาลอยด์ชนิดอื่นๆ เช่น liensinine, isoliensinine, neferine, lotusine, nuciferine, pronuciferine, demethylcoclaurine และสารจำพวกฟลาโวนอยด์ เช่น galuteolin, hyperin, rutin
ใบ พบสารกลุ่มแอลคอลอยด์ เช่น dehydroroemerine, dehydronuciferine, dehydroanonaine, Nmethylisococlaurine, roemerine, nuciferine, anonaine, pronuciferine, Nnornuciferine, nornuciferine, amepavine, N-methylcoclaurine และพบสารประกอบพวกฟลาโวนอยด์ เช่น quercetin, isoquercetin, nelumboside
ก้านบัว พบ สารกลุ่มแอลคาลอยด์ หลายชนิด เช่น roemerine, nornuciferine, nornuciverine, nuciferine, armepavine resin, tannin8 asparagine
เหง้าบัว พบ quercetin และสารกลุ่มแอลคาลอยด์หลายชนิด เช่น nelumbine, nuciferine, Nnornuciferine, oxoushinsunine, N-noramepavine นอกจากนี้ในเม็ดบัวหลวง ที่นิยมนำมาบริโภค ยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
ประโยชน์และสรรพคุณบัวหลวง
ช่วยบำรุงกำลัง ชูกำลัง
บำรุงหัวใจ
บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียน
ช่วยทำให้ชื่นใจ
ใช่เป็นยาสงบประสาท
ช่วยขับเสมหะ
บำรุงปอด
บำรุงตับ
ช่วยคุมธาตุ
แก้ไข้
แก้ปัสสาวะบ่อย
แก้น้ำกามเคลื่อน
แก้ตกขาว
แก้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
แก้เลือดกำเดาไหล
แก้อาการท้องเสีย
แก้อาการซ้ำใน
ช่วยให้นอนหลับ
แก้ริดสีดวงจมูก
แก้ลมพิษ
แก้ท้องเดิน
ช่วยห้ามเลือด
แก้อาการปวดศีรษะเป็นไข้
แก้อาการท้องร่วง
ช่วยขยายเส้นเลือดหัวใจ
แก้ร้อนในกระหายน้ำ
แก้พุพอง
แก้เป็นตะคริวที่ท้อง
ช่วยห้ามเลือด
แก้พิษหัด
แก้พิษสุกใส
แก้อ่อนเพลีย (ใช้เกสรบัวหลวง ร่วมกับเปลือกฝิ่นต้น และลูกมะตูม อ่อน)
ช่วยให้เจริญอาหาร
ช่วยแก้น้ำกามเคลื่อน (ฝันเปียก)
มีการนำบัวหลวง มาใช้ประโยชน์ มาตั้งแต่อดีต เพราะบัวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธบูชา จึงนิยมใช้ดอกบัวในการไหว้พระ ทำบุญ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่เป็นมงคล อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้ทั้งคาวหวาน ใช้ในงานประดิษฐ์ต่างๆ ใบบัวแก่เมื่อนำมาตากแห้ง ใช้เป็นส่วนผสมของยากันยุงได้ เปลือกบัวนำมาใช้เป็นวัสดุในการปลูกเห็ดชนิดหนึ่ง หรือ ที่เรียกว่า "เห็ดบัว" ส่วนเปลือกเมล็ดและฝักแก่ใช้ทำเป็นปุ๋ย นอกจากนี้สารสกัดจากเกสรยังนำมาใช้ทำเป็นเครื่องสำอางที่เป็นตัวช่วยชะลอการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวหนังเต่งตึงและอ่อนนุ่ม เช่น ครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวทั้งกลางวันกลางคืนได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้เกสรบัวหลวงแห้งบดเป็นผงปรุงเป็นยาหอมจะช่วยบำรุงหัวใจ บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนทำให้ชื่นใจ เป็นยาสงบประสาท ขับเสมหะ หรือ ใช้เกสรบัวหลวงสด หรือ แห้งประมาณ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หรือ ใช้เกสรบัวหลวง แห้ง บดเป็นผงครั้งละ 0.5 -1 ข้อนชา ชงน้ำร้อนดื่ม หรือ ใช้ในขนาด 3-5 กรัม ใช้แก้อาการช้ำในช่วยในการนอนหลับใช้ดอกบัวตูมแห้ง 3-5 ดอก ต้มน้ำ 4-7 แก้ว ให้เดือดนาน 5-10 นาที ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่รับประทาน วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว หรือดื่มต่างน้ำ ใบบัวสดนำมาต้มน้ำใช้ดื่มเพื่อลดความดันเลือดและลดไขมันในเลือด ดีบัว (ต้นอ่อนในเมล็ด) นำมาตากแห้ง คั่วให้หอม ชง น้ำร้อนดื่มเหมือนน้ำชา มีคุณสมบัติ ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ บำรุง หัวใจ สงบประสาท ขับเสมหะ เหง้า หรือ รากบัวใช้ต้มกับน้ำดื่ม เป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติในเด็ก ใบบัวนำมาหั่นเป็นฝอยแล้วผึ่งแดดให้แห้ง ใช้ทำเป็นมวนสูบเพื่อช่วยบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก บัวทั้งต้นใช้แก้พิษจากการรับประทานเห็ดพิษและอาการเป็นพิษจากพิษสุราเรื้อรัง ด้วยการใช้ทั้งต้นประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน
ลักษณะทั่วไปของบัวหลวง
ลักษณะบัวหลวง เป็นบัวขนาดใหญ่ จัดเป็นพืชน้ำ มีอายุหลายปี และออกดอกตลอดปี มีลำต้นแท้อยู่ใต้ดิน (เรียกว่าเหง้าหรือไหล) มีก้านใบและ ก้านดอกโผล่พ้นดินขึ้นมา ชูใบและดอกขึ้นเหนือน้ำ ก้านดอกและก้าน ใบของบัวหลวงมีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นก้านแข็งผิวเป็นหนามสั้นๆ ขรุขระ ภายในก้านใบ มีรูพรุน เมื่อหักออกจากกันจะมีเส้นใยสีขาวเชื่อมกันมากมายเรียกว่าใยบัว ใบบัวหลวง เป็นใบเดี่ยว แผ่นใบชูเหนือน้ำ รูปเกือบกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-50 ซม. โคนเว้าตื้น ของเรียบ และเป็นคลื่น ผิวเรียบมีนวลขาวเคลือบตลอดหลังใบ ทำให้น้ำไม่เกาะ (เข่นเดียวกับใบบอน) ดอก เป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่อยู่ปลายก้าน ดอก เมื่อตูมเป็นรูปไข่ปลายแหลม เมื่อบานมีกลีบดอกแผ่ออกโดยรอบ เป็นวงกลมคล้ายกับทานตะวัน มีกลีบดอกขนาดใหญ่ประมาณ 20 กลีบ กลางดอกเป็นรังไข่ ปลายแบนราบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นเส้นล้อมรอบรังไข่เป็นจำนวนมาก กลีบดอกบัวหลวงมีทั้งสีชมพูและสีขาว และยังมีชนิดดอกซ้อนอีก ด้วย ทรงดอกบัวหลวงมี 2 แบบ คือ ทรงปกติ ค่อนข้างเรียวยาว เรียกว่า ดอกฉลวย (ซึ่งก็ คือ ดอกบัว ที่ดอกไม่ซ้อน) ส่วนชนิดหนึ่งทรงดอกป้อม เป็นชนิดดอกซ้อน รากบัวหลวงมีลักษณะเป็นเหง้า หรือ ไหลหยั่งลงไปในดินลึก เป็นรากเก็บอาหาร ขนาดใหญ่ทรงกลมยาว คืบไปตามแนวนอนใต้ดิน และเป็นปล้อง เนื้อในมีรู สำหรับส่วนของบัวหลวง ที่นำไปทำยา คือ เกสรตัวผู้ของดอกบัวหลวง โดยเก็บเมื่อดอกบานเต็มที่ แยกเอาเฉพาะเกสรตัวผู้ นำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เมื่อแห้ง จะเป็นเส้นมีสีเหลือง และมีกลิ่นหอม รสฝาด
บัวหลวง
การขยายพันธุ์บัวหลวง
บัวหลวงนั้นสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแยกเหง้าปลูก โดยพื้นที่ปลูกบัวหลวงควรเป็นพื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่มีความสูงต่ำสม่ำเสมอ และใกล้แหล่งน้ำ ลักษณะของดินควรเป็นดินร่วน หรือ ดินเหนียว หน้าดินเป็นโคลนตมไม่หนามาก สำหรับดินร่วนปนทรายจะให้ผลผลิตของดอกน้อย และจะดอกใบมาก
วิธีการเตรียมแปลงปลูกบัวหลวง จะมีลักษณะคล้ายกับการทำนา แต่จะขุดแปลงลึกกว่า ประมาณ 1-1.5 เมตร เพื่อให้กักเก็บน้ำสูง 0.5-1 เมตร หากเป็นแปลงเก่า หรือ บ่อเก่าให้สูบน้ำออกให้หมด พร้อมไถ และปรับพื้นที่ให้เรียบ และกำจัดวัชพืช หว่านปูนขาว เพื่อฆ่าเชื้อ และปรับสภาพดิน พร้อมตากแดดบ่อประมาณ 1-2 อาทิตย์ แล้วทำการหว่านปุ๋ยสูตร 12-12-24 อัตรา 30 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอก 200 กก./ไร่ พร้อมทำการไถ และปรับหน้าดินอีกครั้ง
การปลูกจะใช้วิธีการแยกเหง้าบัว หรือ รากบัวออกปลูก โดยเหง้าที่ใช้จะยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาเหง้า 2-3 ตา เพราะหลังปลูกต้นบัวใหม่จะงอกขึ้นตามตาบริเวณข้อบัว ซึ่งการปลูกสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ
การปลูกในแปลงดินแห้ง โดยส่วนมากมักใช้สำหรับแปลงใหม่ หรือ ต้องการปลูกในลักษณะของดินแห้งหลังจากการเตรียมบ่อ สำหรับการปลูกในแปลงลักษณะนี้จะใช้วิธีการขุดหลุมด้วยเสียม หรือ จอบลึกประมาณ 15-20 ซม. พร้อมฝังเหง้าบัว โดยให้เหลือส่วนที่เป็นตาบัวเหนือผิวดินประมาณ 1-2 ข้อ หลังจากนั้นจึงทำการปล่อยน้ำเข้าแปลง
การปลูกในแปลงดินโคลน เป็นวิธีการที่นิยมปลูกเนื่องจากง่าย และสะดวกกว่าวิธีแรก ด้วยการปล่อยน้ำเข้าแปลงเพียงเล็กน้อยหรือสูงกว่าผิวดิน 3-5 ซม. เพื่อให้ดินเป็นโคลนตม หลังจากนั้นจะให้เหง้าบัวเสียบลงแปลง โดยให้เหลือส่วนเหนือผิวดินประมาณ 1-2 ข้อ เมื่อปลูกเสร็จจึงทำการปล่อยน้ำให้ท่วมแปลง
สำหรับการปล่อยน้ำ จะปล่อยน้ำหลังปลูกเสร็จให้ท่วมแปลงในระดับสูงกว่าปลายเหง้าบัวเพียงเล็กน้อย เมื่อต้นอ่อนบัวเริมงอก และตั้งตัวได้แล้วจึงทำการปล่อยน้ำเข้าแปลงอีกครั้ง
ส่วนการใส่ปุ๋ย จะทำการใส่ปุ๋ยครั้งแรกเมื่อเห็นต้นอ่อนของบัวงอกแล้วประมาณ 1-2 อาทิตย์ โดยใช้สูตร 16-16-8 และอีกครั้งในระยะก่อนบัวออกดอกในสูตร 12-12-24 ทั้งสองครั้งใส่ประมาณ 30 กก./ไร่ นอกจากนี้ในระยะแรกอาจใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ร่วมด้วยในอัตรา 100 กก./ไร่ แต่ไม่ควรใส่ปุ๋ยชนิดนี้มากเพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสีย
ทั้งนี้บัวหลวงสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน ในระดับน้ำไม่ลึกมากเกิน 1 เมตร และบัวหลวงยังมีความอ่อนไหวต่อคุณภาพน้ำสูง โดยจะชอบแหล่งน้ำธรรมชาติ สะอาด น้ำไม่เน่าเสีย ดังนั้น ระดับน้ำ และคุณภาพของน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ที่ต้องพิจารณาสำหรับการปลูกบัวหลวง
ดอกบัวหลวง
องค์ประกอบทางเคมี
ในส่วนต่างๆ ของบัวหลวง พบองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้
เกสรบัว พบฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น quercetin, luteolin, isoquercitrin, luteolin glucoside และมีรายงานพบสารกลุ่มแอลคอลอยด์อีกด้วย
ดอกบัว พบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น quercetin, luteolin, isoquercitrin, luteolin glucoside, kaempferol, kaempferol 3- galactoglucoside, kaempferol 3- diglucoside
ดีบัว พบ methylcorypalline และแอลคาลอยด์ชนิดอื่นๆ เช่น liensinine, isoliensinine, neferine, lotusine, nuciferine, pronuciferine, demethylcoclaurine และสารจำพวกฟลาโวนอยด์ เช่น galuteolin, hyperin, rutin
ใบ พบสารกลุ่มแอลคอลอยด์ เช่น dehydroroemerine, dehydronuciferine, dehydroanonaine, Nmethylisococlaurine, roemerine, nuciferine, anonaine, pronuciferine, Nnornuciferine, nornuciferine, amepavine, N-methylcoclaurine และพบสารประกอบพวกฟลาโวนอยด์ เช่น quercetin, isoquercetin, nelumboside
ก้านบัว พบ สารกลุ่มแอลคาลอยด์ หลายชนิด เช่น roemerine, nornuciferine, nornuciverine, nuciferine, armepavine resin, tannin8 asparagine
เหง้าบัว พบ quercetin และสารกลุ่มแอลคาลอยด์หลายชนิด เช่น nelumbine, nuciferine, Nnornuciferine, oxoushinsunine, N-noramepavine นอกจากนี้ในเม็ดบัวหลวง ที่นิยมนำมาบริโภค ยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
จะใช้ส่วนต่างๆของบัวหลวงช่วยบำบัดรักษาโรคควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ