page84

ตำลึง งานวิจัยและสรรพคุณ 41 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ตำลึง

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักแคบ (ภาคเหนือ), ผักตำนิน (ภาคอีสาน), แคเด๊าะ (กะเหรี่ยง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Coccinia grandis (L.) Voigt.

ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coccinia indica Wight & Arn., Coccinia cordifolia (L.) Cogn.

ชื่อสามัญ Ivy gourd

วงศ์ CUCURBITACEAE



ถิ่นกำเนิดตำลึง

มีการสันนิษฐานว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของตำลึงนั้นอยู่แถบคาบสมุทรมาเลเซีย และอินโดจีน เช่น ประเทศไทย, กัมพูชา, พม่า, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และจีน เป็นต้น ปัจจุบันพบตำลึงขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในประเทศเขตร้อนชื้นหลายสิบประเทศ แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่รู้จักนำตำลึง มาใช้เป็นผักปรุงอาหาร เช่น ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา และฟิลิปปินส์ จะมีการนำตำลึงมาใช้เป็นสมุนไพรเท่านั้น


            สำหรับในประเทศไทยนั้น มีการนำตำลึงมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว แต่ที่มีหลักฐานเป็นลายลักอักษร คือ ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ พ.ศ.2416 โดยได้อธิบายความหมายของคำว่า “ตำลึง” ไว้ว่า “เป็นชื่อผักอย่างหนึ่ง เป็นเถาลูกมันสุกสีแดง ยอดอ่อนๆ ต้มกินก็ได้ แกงเลียงก็ดี อนึ่งเป็นชื่อเงินสี่บาท” ปัจจุบันเราจึงพบตำลึงขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ทั่วไปทุกภาคในประเทศไทย ผักตำลึง ที่ชาวไทยเก็บมาบริโภคทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นตำลึงที่ขึ้นเองโดยธรรมชาติมากกว่าที่ปลูกเสียอีก


ตำลึง


ประโยชน์และสรรพคุณตำลึง

ช่วยกำจัดกลิ่นตัว กลิ่นเต่า (ตำผสมกับปูนแดง)

ใช้ทำทรีตเม้นต์ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง

ใช้เป็นยารักษาตาไก่

เป็นยาเย็นดับพิษร้อน

แก้ตาช้ำ ปวดตา

แก้ฝี ฝีแดง

แก้โรคตาต่างๆ (แก้อาการตาแดง ตาฟาง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา)

แก้ปวดแสบปวดร้อน

แก้คัน

แก้ไข้หวัด

ช่วยถอนพิษ

แก้เริม

ช่วยย่อยอาหาร

แก้หลอดลมอักเสบ

รักษาเลือดออกตามไรฟัน

แก้โรคโลหิตจาง

แก้ไข้

แก้พิษจากขนพืช หรือ สัตว์ต่างๆ

ช่วยลดความร้อน

แก้เจ็บเส้น

รักษาลิ้นเป็นแผล 

แก้โรคผิวหนัง

แก้มะเร็ง

ลดน้ำตาลในเลือด

แก้โรคหัวใจ

แก้ดวงตาเป็นฝ้า

ลดไขมันในเลือด

มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

มีฤทธิ์ลดน้ำตาล

ช่วยกระตุ้นการทำงานของเบต้าเซลล์

ฤทธิ์ป้องกันการเกิดเบาหวาน

ปกป้องตับจากสารพิษ

ต้านการอักเสบ

แก้ปวด

แก้งูสวัด

แก้ลิ้นเจ็บ ลิ้นเป็นแผล

รักษาเบาหวาน

ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

แก้อาการวิงเวียนศีรษะ

แก้อาการผิดสำแดงเพราะกินของแสลง

แก้หิด

           ยอด และใบตำลึงใช้กินเป็นผักสด หรือ อาจนำไปต้ม หรือ ลวกจิ้มกับน้ำพริก และใช้ปรุงในแกงต่างๆ เช่น แกงจืด แกงเลียง ต้มเลือดหมู ก๋วยเตี๋ยวหมูตำลึง นำไปผัดตำลึงไฟแดง หรือ ใส่ในไข่เจียว ผลอ่อนของตำลึงกินกับน้ำพริกคล้ายยอดสะเดา หรือ ดองกินคล้ายแตงดองได้ เนื้อในผลสุกของตำลึงมีรสอมหวาน



รูปแบบและขนาดวิธีใช้


แก้พิษคันจากใบไม้คัน หรือ หนอนคัน (ตัวบุ้ง) โดยนำใบตำลึง สดสัก 4-5 ใบ มาขยี้ เอาน้ำชโลม หรือ ทาบริเวณที่คัน หรือ ใช้ใบสด 1 กำมือ (ใช้มากน้อยตามบริเวณที่มีอาการ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยแล้วคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆ จนกว่าจะหาย

แก้เริม งูสวัด ให้ใช้ใบตำลึงล้างน้ำต้มสุกให้สะอาด ตำให้ละเอียด คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำผสมดินสอพอง สะตุ (เผาจนสุก) ทาผิวบริเวณที่เป็นให้เปียกชื้นอยู่เสมอ อาการแสบร้อนจะทุเลาลง แต่หากทาแล้วไม่รู้สึกเย็น ก็แปลว่ายาไม่ถูกโรคให้เลิกใช้

ยอด เถา ใบ และราก ตำคั้นน้ำดื่มแก้หลอดลมอักเสบ

ลิ้นเจ็บ ลิ้นเป็นแผล ให้เคี้ยวผลตำลึงอ่อนจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บแสบจากแผลได้

ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เถาแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ หรือ จะใช้น้ำคั้นจากผลดิบ นำมาดื่มวันละ 2 รอบ เช้า,เย็น จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ด้วยการใช้เถาตำลึงชงกับน้ำดื่ม

แก้อาการตาแดง ตาฟาง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ด้วยการใช้เถาตำลึง นำน้ำต้มจากเถามาหยอดตา หรือ ตัดเถาเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว นำมาคลึงพอช้ำแล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา 

แก้อาการผิดสำแดงเพราะกินของแสลง โดยใช้เถาตำลึง ตัดเป็นท่อน 3-4 ท่อน โดยแต่ละท่อน ยาว 1 คืบ นำไปใส่ในหม้อดินสุมไฟ จนไหม้เป็นขี้เถ้า นำมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำซาวข้าวดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา (เถา)

ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการรับประทานใบตำลึงสดๆ

ใช้รักษาแผลอักเสบ ด้วยการใช้ใบสดหรือรากสด นำมาตำแล้วพอกบริเวณแผล

ช่วยแก้หิด ด้วยการใช้เมล็ดตำผสมน้ำมันมะพร้าวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของตำลึง


ตำลึงจัดเป็นไม้เถาล้มลุกอายุหลายปี เถาแก่ของตำลึงจะใหญ่และแข็ง เถาตำลึงจะมีลักษณะกลม สีเขียว ตามข้อมีตำลึงจัดเป็นเอาไว้ยึดเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยวออกแบบสลับ ใบรูปร่างคล้าย 5 เหลี่ยม ขอบใบเว้าเล็กน้อย บางครั้งจะเว้ามากเป็น 5 แฉก ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ใบสีเขียวเรียบไม่มีขนของใบมีต่อมคายน้ำ ก้านใบยาว 3-6 เซนติเมตร


           ทั้งนี้ชาวไทยแบ่งตำลึงออกเป็นสองชนิด คือ ตำลึงตัวผู้ และตำลึง ตัวเมีย โดยใช้ลักษณะของใบเป็นหลัก กล่าว คือ ชนิดที่มีใบเป็นหยักเว้าเข้าไปถึงโคนใบเรียกว่าตำลึงตัวผู้ ส่วนชนิดที่มีใบกว้างเต็ม หรือ เว้าเล็กน้อยเรียกว่าตำลึงตัวเมีย 


           ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกจากบริเวณซอกใบ ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น ดอกมีกลีบสีเขียว ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก โคนตัดกันเป็นกรวย กลีบดอกสีขาว เกสรตัวผู้มี 3 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลรูปร่างกลมรีคล้ายแตงแต่เล็กกว่า กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ยาว ประมาณ 5 เซนติเมตร ผลดิบสีเขียว มีสายขาวๆ เมื่อแก่สุกจัดมีสีแดง หรือ แดงอมส้มเนื้อในสีแดงและมีเมล็ดหลายเมล็ดข้างในลักษณะแบนสี ขนาด 2-3 เซนติเมตร


ใบตำลึง


ดอกตำลึง


การขยายพันธุ์ตำลึง


ตำลึงสามารถขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด หรือ การเพาะชำเถาแก่ โดยมีวิธีการดังนี้ การปลูกด้วยการเพาะเมล็ดก่อนอื่นต้องเตรียมเมล็ดตำลึงที่แก่จัดมาผึ่งให้แห้งแล้วเตรียมดินโดยผสมปุ๋ยคอกลงไปในดินที่จะใช้ปลูก ขุดหลุมลึก 10-20 เซนติเมตร โดยมีระยะห่างประมาณ 50 เซนติเมตร ต่อหลุม แล้วนำเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้หยอดลงไปหลุมละ 2-3 เมล็ด จากนั้นกลบดินให้มิดแล้วรดน้ำให้ชุ่มจากนั้นรดน้ำ เช้า-เย็น แต่ควรระวังอย่าให้น้ำมากจนเกินไป หลังจากต้นกล้างอกประมาณ 5-7 เซนติเมตร ให้ทำค้างไว้ให้เถาตำลึง เกาะเลื้อยขึ้นไป ส่วนการปลูกด้วยการเพาะชำเถาแก่นั้น นำเถาแก่ของตำลึง (ต้องมีข้อของเถาในท่อนเถาแก่ที่จะนำมาปลูกด้วย) มาตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร แล้วนำไปเพาะในถุงชำที่ผสมดินกับปุ๋ยคอกแล้ว จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มรอให้ท่อนพันธุ์มีรากและใบงอกออกมา ประมาณ 10 เซนติเมตร จึงนำไปปลูกในแปลงได้